10 โปรแกรมหา Keyword เพื่อทำ SEO ดีที่สุด แม่นตามคนค้นจริง 2022

หัวใจของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ คือ การเจอคำค้น (keyword) ที่ผู้คนค้นหากันและนำมาใช้ ิและสำหรับธุรกิจ การทำ SEO สามารถนำไปสู่การขายหรือการสร้างรายได้ให้เว็บไซต์ธุรกิจได้ ด้วยการใช้คำค้นที่มีเนื้อหาที่ชัดเจน ตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าค้นหาพอดิบพอดี ซึ่งเราสามารถเจอ keyword (คีย์เวิร์ด) ที่ใช้ได้นั้นหาไม่ยากเลย ขอแค่มี “โปรแกรมหา keyword” ดีๆ เท่านั้น

วันนี้ WOW รวมเว็บหรือ โปรแกรมหา keyword ที่ดีที่สุดสำหรับการทำ SEO 10 โปรแกรม ที่คนทำงาน SEO นิยมใช้มากที่สุด ไม่ว่าจะใช้ตัวเดียวหรือใช้หลายตัวร่วมกัน ก็ยังเป็นโปรแกรมกลุ่มนี้ที่ช่วยชีวิตเว็บไซต์ของชาว SEO เอาไว้

ทำ SEO ง่ายๆ

ก่อนจะไปดู โปรแกรมหา keyword แต่ละตัว มาดูปัจจัยสำคัญอีก 2 อย่าง ที่ต้องพิจารณาในการหาคีย์เวิร์ดแต่ละครั้ง นั่นคือ ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดกับเว็บไซต์ (Relevance) และสถานที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ (location)

ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดกับเว็บไซต์ (Relevance)

ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดกับเว็บไซต์ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ที่จะชี้วัดว่า เราเลือกคีย์เวิร์ดได้ถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะยิ่งคีย์เวิร์ดมีความระบุเฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ “คนที่ใช่” มาเจอเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้นดีขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของเว็บไซต์คือ ธุรกิจรับสร้างสระว่ายน้ำ คีย์เวิร์ดที่น่าใช้คือ “ติดตั้งสระว่ายน้ำ” “สร้างสระว่ายน้ำ” “รับสร้างสระว่ายน้ำในดินแบบไฟเบอร์กลาส” มากกว่า “สระว่ายน้ำ” เฉยๆ

เพราะคนที่อยากหาข้อมูลบริษัทรับสร้างสระว่ายน้ำน่าจะพิมพ์หาใน Google ว่า “ติดตั้งสระว่ายน้ำ” มากกว่า ซึ่งหากใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เราจริงๆ ก็มีสิทธิมากขึ้นที่ คนที่ใช่ที่กล่าวไป ซึ่งเป็น “กลุ่มเป้าหมายจริงๆ” ค้นหาเจอเว็บไซต์ธุรกิจรับสร้างสระว่ายน้ำ

สถานที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ (location)

อีกปัจจัยสำคัญคือ สถานที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ เพราะเวลาที่เรามองหาคำค้นที่น่าสนใจสำหรับเว็บไซต์ หากไม่ระบุสถานที่ตั้ง (location) ใดๆ ระบบจะประมวลข้อมูลในค่าตั้งต้นของระบบ เช่น สหรัฐอเมริกา แทนที่จะเป็นประเทศไทย

4 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ต้องเข้าใจ ก่อนหา keyword ที่ใช่!

1.) รู้ว่า keyword คือ อะไร keyword คือ คำที่คนใช้ค้นหาใน search engine ซึ่ง keyword ที่มีประโยชน์กับคนทำ content คือ คำที่คนใช้ค้นหาเยอะๆ เช่น “keyword คือ”, “โควิด-19 อาการ” เป็นต้น

2.) เลือก keyword โดยดูจากหลายปัจจัย หลักๆ ก็เช่น ธรรมชาติของธุรกิจของคุณ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ ขายเครื่องสำอาง, แนวโน้มการค้นหา keyword นั้นๆ ในแต่ละเดือน โดยปกติแล้ว ควรอยู่ในระดับหลักพันขึ้นไป

3.) สร้างรายชื่อ keyword ที่ใช้ และแนวโน้มการค้นหา keyword นั้นๆ  ในแต่ละเดือน เพื่อแตก keyword เพิ่มเติมที่น่าสนใจ (long tail keyword) และวิเคราะห์ว่าควรใช้ keyword นั้นๆ หรือไม่เป็นรายเดือนไป

4.) รู้จักคู่แข่ง ดูว่า คู่แข่งของเว็บไซต์เราคือใคร เขาทำ content อะไรบ้าง content น่าสนใจไหม คนอ่านเยอะไหม ตอบรับเป็นยังไง เว็บไซต์เราจะทำได้ดีกว่ายังไงบ้าง ฯลฯ

ทำคอร์สออนไลน์, ทำเว็บสอนหน้งสือ, ทำเว็บไซต์

10 โปรแกรมหา keyword ยอดฮิตในวงการ SEO

โปรแกรมหา keyword ฟรี

1. Google Keyword Planner

Google Keyword Planner คือ เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดที่อยู่ใน Google Ads หรือ Google AdWords ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อทำเว็บไซต์ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือหาคีย์เวิร์ดได้แล้ว ยังเป็นวิธีการเรียนรู้เครื่องมือทำเว็บไซต์ของ Google ในเวลาเดียวกัน

โดยเราจำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ใช้งาน Adwords เพื่อใช้ Keyword Planner ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ใช้งาน Google AdWords จะเป็นผู้ที่ซื้อโฆษณาใน Google (หรือทำ SEM) แต่เราก็สามารถใช้ Google Keyword Planner ได้ โดยไม่ต้องใช้ Google Ads ซื้อโฆษณาใน Google

เปิด AdWords มาหน้าแรกจะพบกับหน้านี้ (หลังจากที่ลงทะเบียนใช้งานเสร็จแล้วหรือเรามีบัญชี AdWords อยู่แล้ว) ให้เข้าไปที่ “Tools & Settings” เลือก “Planning” และเลือก “Keyword Planner”

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี

คลิกเข้ามาจะเห็นหน้านี้ ซึ่งเป็นกล่องสีขาว 2 กล่อง กล่องแรกคือ ค้นหา keyword สำหรับคนที่นึกไม่ออกเลยว่าจะใช้ keyword อะไร ส่วนกล่องที่ 2 คือ คนที่มี keyword ในใจอยู่แล้ว และอยากรู้ว่า มีคนค้นหาจริงๆ หรือไม่ ถ้ามี มีเยอะแค่ไหน

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี

2. Google Trends

Google Trends คือ เครื่องมือฟรีของ Google อีกเครื่องมือหนึ่ง ที่ช่วยให้เรารู้ว่าคำค้นแต่ละคำมีคนหาเยอะแค่ไหนในแต่ละพื้นที่ แนวโน้มการค้นหาที่ผ่านมา รวมคีย์เวิร์ดในกลุ่มเดียวกัน หรือคีย์เวิร์ดที่คล้ายกันเนื่องจากการสะกดผิดก็ได้

จุดเด่นของ Google Trends คือจะแสดงกราฟแนวโน้มการค้นหาให้เราสามารถเปรียบเทียบคำค้นแต่ละตัวได้อย่างน่าสนใจ

เราสามารถดาวน์โหลดมาดูในคอมพิวเตอร์ได้ หรือจะเอาลิงค์ Embed มาใส่ในเว็บไซต์ของเราก็ได้ ขณะที่เครื่องมือหา keyword อื่นๆ จะแสดงข้อมูลเป็นจำนวนตัวเลข และไม่เน้นเปรียบเทียบได้อย่างมีสีสันเหมือนกับ Google Trends

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี

Google Trends จึงเหมาะกับเวลาที่ต้องการตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด ดีที่สุดในที่นี้คือ ปริมาณการค้นหาของแต่ละคีย์เวิร์ด คำไหนมีปริมาณมากที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ควรจะเลือกใช้คำนั้น

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี, ร้านยำ ใกล้ฉัน

ตัวอย่างนี้จะเห็นว่า เมื่อค้นหาคำว่า “ยำมาม่า” และ “ยำรวมมิตร” ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ในกลุ่มของอาหาร จะเห็นผลลัพธ์ว่าคำว่า ยำมาม่า ขึ้นมามากกว่า

หากคิดจะโปรโมทเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่พูดถึง อาหารเมนูยำ ช่วงนี้ หากใช้คำว่า ยำมาม่า เป็นหลัก จะมีแนวโน้มติดในการค้นหามากขึ้น

3. Keyword Tool.io

Keyword Tool.io เป็น เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดที่หาคีย์เวิร์ดหางยาว (long-tail keyword) ได้ดีมาก สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องลงทะเบียนเข้าใช้ใดๆ โดยคีย์เวิร์ดหางยาวเหล่านี้จะมาจากการประมวลผลของหลายๆ ปัจจัย เช่น คำที่ผู้คนค้นหาเยอะในช่วงเวลาที่ผ่านมา

คีย์เวิร์ดหางยาว, โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี

สรุปแล้ว ผู้ที่ใช้เครื่องมือนี้ควรจะต้องมีคีย์เวิร์ดตั้งต้นในใจอยู่แล้ว และต้องการหาต่อยอดคีย์เวิร์ดต่อไป เช่น บล็อกเกอร์ที่ต้องการหาหัวข้อเขียนบทความ โดยศึกษาจากคีย์เวิร์ดหลักของบทความที่มียอดเข้าชมที่ดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งหากอยากได้ข้อมูลคีย์เวิร์ดฉบับสมบูรณ์ในชื่อโปรแกรม Keyword Tool Pro ผู้ใช้งานสามารถจ่ายเงินเพื่ออัพเกรดได้

อ่าน : คู่มือ SEO 101 : วิธีทำ SEO ง่ายที่สุด ไม่มีพื้นฐานก็เข้าใจได้! (อัพเดต 2021)

โปรแกรมหา keyword น่าใช้ (แต่ต้องเสียเงิน)

1. Moz : Keyword Difficulty Tool

Keyword Difficulty Tool ของ Moz เป็นโปรแกรมหา keyword ที่เด่นเรื่องวิเคราะห์การใช้คีย์เวิร์ดในระบบค้นหา และค้นหาคีย์เวิร์ดที่น่าใช้แต่การแข่งขันไม่สูงมาก

Keyword Difficulty Tool ของ Moz จะให้ความสำคัญกับตัวเลขของ 3 หัวข้อนี้ ได้แก่ Difficulty Score, Volume Score และ Opportunity Score

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, หา keyword ฟรี

  • Difficulty Score 

คะแนนความยากง่ายของคีย์เวิร์ดที่จะติดอันดับการค้นหา โดยคะแนนปัจจัยนี้ของ Moz เอาตัวเลขของ Page Authority (PA) และ Domain Authority (DA) มาร่วมในการประมวลค่า Difficulty Score อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ตัวเลขยังปรับเพื่อหน้าเว็บเพจที่มีการทำ SEM ที่ต้องมีการวัดค่า Click-through-rate (CTR) เป็นพิเศษด้วย

  • Volume Score

ปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ดในระบบค้นหา Moz เผยว่าตัวเลขนี้มีความแม่นยำหรือใกล้เคียงกับตัวเลขการค้นหาจริงถึง 95% จากการนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาร่วมประมวลด้วย

  • Opportunity Score

คะแนนโอกาสความเป็นไปได้ของคียเวิร์ด Moz ให้เหตุผลของการเพิ่มฟีเจอร์ส่วนตัวขึ้นมาว่า เพราะ Google เองมีการเพิ่มเติมฟีเจอร์หรือพัฒนาระบบการค้นหาหรือการจัดอันดับตลอดเวลา Opportunity Score จึงเป็นเหมือนการให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระบบ ซึ่งมีส่วนต่อคีย์เวิร์ดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลักเกณฑ์ทั้งสองอย่างข้างต้น เช่น การให้ความสำคัญกับฟีเจอร์อื่นๆ ในหน้าเว็บเพจ นอกเหนือจากเนื้อหาปกติ

2. Ahrefs

Ahrefs เป็นเครื่องมือที่ครบเครื่องอีกตัวหนึ่งที่หนักแน่นทั้งการทำ SEO ของเว็บตัวเอง และการวิเคราะห์เว็บคู่แข่งเพื่อทำตัวเองให้ดีกว่า

เครื่องมือ Ahrefs เหมาะกับชาว SEO มืออาชีพที่เน้นการทำ SEO เชิงเทคนิค โดย Ahrefs จะเจาะรายละเอียดของข้อมูลต่างๆ ในเชิงลึกมากขึ้นไปอีก เช่น

  • จำนวนของ Search volume เท่านี้ แต่มีคนคลิกและไม่คลิกลิงค์เท่าไหร่ ให้ผู้ใช้งานได้เข้าใจรายละเอียดที่แท้จริงของ Search Volume ของคำค้นนั้นๆ เช่น Search volume เป็นหลักพัน แต่จำนวนคลิกลิงค์แค่ 10% ไม่คลิกถึง 90% ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็น Search volume ที่ไม่สร้างคุณค่าให้กับเนื้อหามาก
  • จำนวนคลิก เกิดจากการคลิกแบบ Organic หรือ Paid ถ้ามี Paid รวมอยู่ด้วย หมายความว่ามีการใช้คีย์เวิร์ดทำ SEM ร่วมด้วย ซึ่งผู้ทำ SEO จะนำข้อมูลนี้ไปคิดวิเคราะห์เพิ่มในการทำ SEO ให้เว็บต่อไป

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, โปรแกรม Ahrefs, หา keyword ฟรี

Ahrefs ยังมี database ที่ใหญ่มาก มากถึง 5,100 ล้านคำค้นเพื่อผู้ใช้งานมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยิ่งมีคีย์เวิร์ดในคลังข้อมูลมาก ก็ยิ่งเจอโอกาสในการติดอันดับการค้นหามากกว่า

นอกจากใช้ระบบด้วยตัวเองแล้ว Ahrefs ยังส่งอีเมลแจ้งข้อมูลที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อการทำเว็บฯ ให้ผู้ใช้งานทราบอย่างต่อเนื่องด้วย ก็นับว่าเป็นข้อดีสำหรับคนทำ SEO ด้วยตัวเองที่ไม่มีที่ปรึกษา ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานของ Ahrefs ยังมีอีกเยอะมาก หากคิดว่าจำเป็นต้องใช้งานประจำทุกวันหรือเป็นคนทำ SEO สายเทคนิค แนะนำให้สมัครลองใช้งานด้วยตัวเอง

3. Term Explorer

Term Explorer จะคล้ายกับ Ahrefs ที่เจาะรายละเอียดของข้อมูลแต่ละอย่างของคำค้น เพื่อนำไปสรุปเป็นรายงานวิเคราะห์คำค้นให้ผู้ใช้งานต่อไป

ตัว Term Explorer จะสรุปข้อมูลของผลลัพธ์ที่ปรากฎบนหน้าค้นหา (SERPs) หน้าแรกให้กับผู้ใช้งาน เช่น จำนวนผลการค้นหา ความแข็งแรงของลิงค์ คะแนนความน่าเชื่อถือ และความยากง่ายของคีย์เวิร์ด

โปรแกรม Term Explorer, โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, โปรแกรม Ahrefs, หา keyword ฟรี

โดยทางเว็บบอกว่า จากคำค้น 1 คำ โปรแกรมสามารถแตกออกมาเป็น 10,000 คำค้นที่น่าสนใจให้เลือกใช้ได้ แจกแจงข้อมูลการแข่งขันของคำค้น อัปเดตคำค้นให้โดยอัตโนมัติ และคัดคำค้นที่ไม่เกี่ยวข้องออกอย่างง่ายดาย

ข้อมูลทั้งหมดที่ว่ามา ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ CSV เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อได้ด้วย

4. SEMrush

SEMrush เป็นเครื่องมือหาคีย์เวิร์ดสำหรับคนทำ SEO ที่เน้นจับตามองเว็บคู่แข่งโดยเฉพาะ โดยตัวโปรแกรมจะมองหาโอกาสที่จะดันเว็บคู่แข่งออกจากผลการค้นหาแบบ Organic ซึ่งเป็นผลการค้นหาที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเชื่อถือและเลือกคลิกมากที่สุด

เครื่องมือหาคีย์เวิร์ด

ผู้ใช้งานสามารถนำโดเมนเว็บคู่แข่งทั้งหลายมาวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ เช่น คีย์เวิร์ดที่ใช้ร่วมกันและตำแหน่งของลิงค์ทั้งหลายบนผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นผลแบบ Organic, Paid หรือบนหน้าเว็บช้อปปิ้งออนไลน์

หากใช้ Google Trends อยู่แล้วเป็นประจำ SEMrush ยังเป็นเหมือนเวอร์ชั่นอัปเกรดของ Google Trends ที่ผู้ใช้งานสามารถดูอันดับของคำค้นใน SERPs และวิเคราะห์ประวัติการขึ้นและลงในอันดับการค้นหาของคำค้นต่างๆ

ข้อมูลเหล่านี้จะออกมาเป็นตารางแบบต่างๆ ที่ดูง่าย เข้าใจง่าย แต่มีข้อมูลเชิงลึกของ SEO ที่เยอะและครบครัน

5. Accuranker

หากเป็นคนทำ SEO ที่ชอบตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของอันดับของคำค้นเป็นประจำ Accuranker เป็นเครื่องมือที่จะช่วยประหยัดเวลาตรงนี้ได้มาก นี่คือข้อดีหลักๆ ที่คนพูดถึงโปรแกรมหา keyword ตัวนี้

ข้อต่อมาคือ ระบบจัดเรียงอันดับโดยอัตโนมัติว่า คำค้นของเว็บไหนมีอันดับที่ดีกว่ากัน ซึ่งเหมาะกับทั้งคนที่ต้องการข้อมูลเพื่อปรับปรุง SEO บ่อยครั้งและเป็นประจำ หรือจำเป็นต้องสรุปผลการทำ SEO เพื่อนำไปรายงานต่อ

โปแกรม Accuranker, โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, โปรแกรม Ahrefs, หา keyword ฟรี

Accuranker ยังค่อนข้างเหมาะสำหรับคนที่ทำ SEO เพื่อธุรกิจเฉพาะพื้นที่ เช่น กิจการในประเทศ หรือธุรกิจที่ขายทั้งในและต่างประเทศ โดยวิเคราะห์แยกให้ว่า ลิงค์ของเรามีประสิทธิภาพที่ดีแค่ไหนในผลการค้นหาของแต่ละประเทศ และสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องมือฟรีของ Google เช่น Google Analytics และ Google Search Console ได้ดีด้วย

6. HubSpot

หากเว็บไซต์ของผู้ทำ SEO เป็บเว็บฯ แนวให้ข้อมูลความรู้ผ่านเนื้อหาข้อมูลกับผู้เข้าเว็บไซต์ HubSpot เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นเครื่องมือทำ SEO ที่มีเครื่องมือเพื่อการทำเนื้อหาเฉพาะตัวที่ชื่อว่า Content Strategy

เจ้า Content Strategy มีหน้าที่ตรงตัวตามชื่อ คือช่วยระบุและค้นหาหัวข้อที่น่าสนใจจากคำค้น หาคำค้นใหม่หรือหัวข้อย่อยอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานต่อยอดหัวข้อเนื้อหาที่จะนำมาซึ่ง Organic Traffic ในระยะยาว 

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, โปรแกรม Ahrefs, หา keyword ฟรี, โปรแกรม hubspot

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นสร้าง dashboard ตามความต้องการข้อมูลของผู้ใช้งาน เช่น marketing ซึ่งใน dashboard นั้นจะรวมเอาข้อมูลที่จำเป็นหลักๆ มาไว้ด้วยกัน เช่น การเข้าใช้งาน การคลิก หน้าเว็บเพจที่มีคนเข้าชมสูงสุด ซึ่งง่ายต่อการประมวลผลเพื่อนำไปปรับใช้เฉพาะกลุ่มทีมทำงานในองค์กร

7. Serpstat

ตัวสุดท้ายคือ Serpstat เป็นเครื่องมือหาคำค้นอีกตัวที่มีฟังก์ชั่นครบเหมือนกับตัวอื่นๆ ที่กล่าวมา เช่น การรวบรวมข้อมูลคีย์เวิร์ดที่ดีของคู่แข่ง (ที่คู่แข่งใช้จนทำให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับการค้นหา) และหาคำค้นแบบ long tail ที่เข้ากับเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน รวมถึงวิเคราะห์แนวโน้มของคำค้นแต่ละตัวที่เราหรือคู่แข่งใช้ให้ด้วย

โปรแกรมหา keyword, google adwords ใช้ยังไง, โปรแกรม Ahrefs, หา keyword ฟรี, โปรแกรม hubspot

WOW ส่งท้าย

ทั้งหมดเป็นโปรแกรมหา keyword ที่คนใช้เยอะหรือนิยมใช้ 10 ตัว ซึ่งหาพิจารณาจากฟังก์ชั่นที่โปรแกรมแต่ละตัวนำเสนอผู้ใช้งาน ก็จะเห็นว่าเป็นเหตุผลชัดเจนว่าทำไมจึงเป็นที่นิยมใช้กัน หรือหากใครคิดว่ามีโปรแกรม SEO ที่หาคีย์เวิร์ดหางยาวได้ดี จับทางเว็บฯ คู่แข่งได้แม่น ที่นอกเหนือจากที่ WOW แนะนำไป ก็ลองแนะนำ WOW ได้

หรือหากสนใจทำเว็บไซต์เพื่อธุรกิจ หรือทำการตลาดออนไลน์ WOW ก็มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาก่อนทำได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงมือทำ คราวหน้า WOW จะมีความรู้สาระดีๆ เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์อะไรมาแชร์กันอีก Bookmark หน้าเว็บฯ รอกันไว้เลย

 

อ้างอิง :

hubspot.com

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

SEO-Tour-Tourism
Marketing

SEO เครื่องมือการตลาดที่มีคุณค่าสำหรับบริษัททัวร์และธุรกิจท่องเที่ยว

SEO เครื่องมือการตลาดที่มีคุณค่าสำหรับบริษัททัวร์และธุรกิจท่องเที่ยว   ในแวดวงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจทัวร์ การปรับใช้ SEO (Search Engine Optimization) ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณฝ่าด่านการแข่งขันและก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ อย่างง่ายดาย  SEO คือ กระบวนการที่จะช่วยยกระดับเว็บไซต์ สินค้า โปรแกรมทัวร์ และคอนเทนต์ออนไลน์ของคุณให้ปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา การทำ SEO นั้นเกี่ยวข้องกับการเลือกคำหลักที่เหมาะสม การสร้างลิงก์ที่มีคุณค่า และอีกหลากหลายวิธีการ เพื่อเพิ่มความเห็นได้ของเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของคุณ ความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อลูกค้าเป้าหมายค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมทัวร์ที่คุณนำเสนอ

why-SEO- is-important-for-business
Marketing

10 เหตุผล ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญกับธุรกิจ

ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญ กับธุรกิจและลูกค้าของคุณ ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญ ? การทำ SEO สำคัญ เพราะการทำ SEO คือการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมาย เห็นสินค้าและบริการของคุณมากกว่าเว็บที่ไม่ได้ทำ SEO เว็บไซต์ของคุณอาจไม่มีใครมองเห็นเลย ค้นหาก็ไม่เจอ ถ้าไม่ได้ทำ SEO หรือมองเห็นน้อยกว่าเว็บที่ทำเนื้อหาเดียวกัน เพราะไม่มีองค์ประกอบของ SEO เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น